การจัดการกับระบบการศึกษาพิเศษเป็นอย่างไร
การศึกษาเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
การจัดการศึกษาให้ได้ผลดีนั้น ต้องอาศัยครูเป็นกำลังสำคัญ ดังนั้น ครูจึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนในทุกๆ
ด้าน “วิชาชีพครู” หรือ “วิชาชีพทางการศึกษา” ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 ที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545
และพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 จึงควรเป็นวิชาชีพของคนดี
คนเก่งในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครูเป็นอาชีพที่สังคมมีความหวังที่จะเป็นต้นแบบทางคุณธรรมจริยธรรม
ยึดหลักธรรมในการครองตน และประพฤติปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ
การดำรงชีวิตของครูสามารถชี้นำสังคมไปในทางที่เหมาะสม ดังนั้น ครูจึงต้องฝึกฝนตนเองให้มีความชำนาญทั้งในวิชาความรู้และวิธีสอน
ต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นที่รักและเคารพของทุกคน มีความเมตตากรุณา
ซื่อสัตย์สุจริต มีความอดทน และเสียสละ เด็กจะได้เห็นและเข้าใจในคุณค่าความดี
และยึดถือเป็นแบบอย่าง ส่งผลให้ภารกิจของครู คือการให้การศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
บรรลุตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 (สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา, 2554, หน้า
1)
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ 2)
พุทธศักราช
2545
มาตรา
6 ระบุว่า
การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย
จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
มาตรา 23 ระบุว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้
และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
มาตรา 24 วรรคสี่ ระบุว่า การจัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน
รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา
(สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, 2552, หน้า 3-8)
นอกจากนี้มาตรา 27 ระบุว่าว่า สาระของหลักสูตรทั้งที่เป็นวิชาการ และวิชาชีพ
ต้องมุ่งพัฒนาคนให้มีความสมดุล ทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงาม
และความรับผิดชอบต่อสังคม (เสาวนี เรวัตโต, 2547, หน้า 1)
และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ยังกล่าวถึง
สิทธิคนพิการในเรื่อง ส่งเสริมความเสมอภาค การละเว้นการเลือกปฏิบัติ
ระบุความคุ้มครอง การช่วยเหลือ และการให้สิทธิคนพิการ คนทุพพลภาพ และคนด้อยโอกาส
เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมพัฒนาตนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ดังนั้น
หนึ่งในหน้าที่ของครูในการจัดการศึกษา
ต้องเน้นความรู้และคุณธรรมให้เหมาะสมกับความต้องการและความแตกต่างระหว่างบุคคล
ดั่งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มีพระราชดำรัสทางสถานีโทรทัศน์
CNN
ตอนหนึ่งว่า
“...การให้การศึกษาแก่คนพิการเพื่อให้ทำงานและช่วยเหลือตนเองได้
จะทำให้เขาเหล่านั้นเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าและช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น ...” (มหาวิทยาลัยรังสิต, 2553, หน้า 90)
ปัจจุบันสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทำให้วิถีชีวิตของคนไทยในสังคมเปลี่ยนไป
การดำรงชีวิตต้องมีการแข่งขัน เห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม
ขาดจริยธรรมซึ่งเป็นผลกระทบต่อความคิด ค่านิยมที่อยู่ดั้งเดิม
เมื่อใดก็ตามเกิดความเสื่อมทางจริยธรรมขึ้นในสังคมก็มีการลงโทษสถานศึกษาซึ่งมีครูทำหน้าที่ให้ความรู้
และอบรมบ่มนิสัยให้นักเรียนมีจริยธรรม คือครูต้องมีพฤติกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรมที่มีต่อศิษย์
ต่อตนเอง ต่อวิชาชีพ และต่อสังคม เป็นต้น (พิมพ์พรรณ
เทพสุเมธานนท์, 2542, หน้า 1)
การจัดการศึกษาพิเศษตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ 2)
พ.ศ.
2545
ได้กล่าวถึงการจัดการศึกษาของไทยต้องพัฒนาคนทางด้าน
ร่างกาย สังคม อารมณ์ และสติปัญญา รวมทั้งให้มีคุณธรรมจริยธรรมควบคู่ไปด้วย รวมถึงเด็กที่ด้อยโอกาสก็มีสิทธิเท่าเทียมกันกับเด็กปกติ
กล่าวคือเด็กด้อยโอกาสอยากเรียนต้องได้เรียน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ที่กล่าวว่า “รัฐจะต้องจัดการศึกษาให้กับทุกคน
ทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเด็กพิการหรือกลุ่มเด็กด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ”
ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนในหมวดที่ 2 สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา มาตรา 10 วรรคสองว่า
“การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์
สังคม การสื่อการและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ
บุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาสต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ”
(สุขพัชรา
ซิ้มเจริญ, 2545,
หน้า
9)
การจัดการศึกษาแบบเรียนร่วม
เป็นการให้บริหารทางการศึกษากับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษประเภทต่างๆ
ซึ่งส่งเสริมการเรียนรู้
โดยคำนึงถึงความสามารถพื้นฐานของนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษแต่ละบุคคล
ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็นพิเศษควบคู่กันไป
เพื่อความสามารถในการดำเนินชีวิตในสังคมโดยการพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด
และการปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมในสังคมอย่างเป็นปกติ (ภูฟ้า เสวกพันธ์, 2555, หน้า 14) การเรียนร่วมระหว่างเด็กปกติกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษจะเป็นไปได้หรือไม่
และจะประสบผลสำเร็จเพียงใดขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ ตั้งแต่ระดับนโยบายถึงระดับปฏิบัติการ
โรงเรียนในฐานะผู้ปฏิบัติการเป็นผู้ดำเนินงานในการเรียนร่วม
ผู้บริหารและครูผู้สอนจึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินงานดังกล่าว
หากผู้บริหารไม่เข้าใจเกี่ยวกับความต้องการพิเศษทางการศึกษาของเด็กและไม่เห็นด้วยกับการจัดการเรียนร่วมแล้ว เป็นการยากที่โครงการเรียนร่วมจะประสบความสำเร็จ (ผดุง อารยะวิญญู, 2542, หน้า 63–64)
สุรศักดิ์ สีลูกวัด
www.facebook.com/ZaaraaD/
อ้างอิง
สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา. (2554). คู่มือการดำเนินงานตามโครงการเสริมเสริม คุณธรรม จริยธรรม
และจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2552). พระราชบัญญัติการศึกษาชาติ
พ.ศ. 2552. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา.
เสาวนี
เรวัตโต. (2547). การศึกษาปัญหาและการปลูกฝังคุณธรรมของครูให้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษา สำนักงานเขตธนบุรี
สังกัดกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
มหาวิทยาลัยรังสิต.
(2553).
เทพรัตนวัฒนาส่องสว่างการศึกษา.
กรุงเทพฯ: คิงคองแบงคอก.
พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์. (2542). จริยธรรมของอาจารย์และนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายกรุงเพมหานคร. รายงานการวิจัย
ภาควิชาพื้นฐานการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
สุขพัชรา ซิ้มเจริญ. (2545). การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาสำหรับเด็กที่มีความบกพร่อง. กรุงเทพฯ: ประสานมิตร.
ภูฟ้า เสวกพันธ์. (2555). การจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมทฤษฎีและแนวปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ผดุง อารยะวิญญู. (2542). การเรียนร่วมระหว่างเด็กปกติกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ. กรุงเทพฯ: แว่นแก้ว.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น